"สุวิทย์ ใจป้อม"
เขาเป็นคนเชียงราย ที่คุ้นชินแทบทุกซอกมุมในเมืองหลวงไม่แพ้บ้านเกิด โดยเฉพาะละแวกตรอกซอกซอยแถวอุดมสุข พระโขนง เพราะนาฬิกาชีวิตของเขาส่วนใหญ่หมดเปลืองไปกับความรีบเร่งในกรุงเทพมหานคร
เขาจบการศึกษาจากแผนกวิจิตรศิลป์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย, คณะจิตรกรรม โรงเรียนเพาะช่าง ด้วยทุนมูลนิธิการศึกษาในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ในวัยเด็ก เขาแทบสะกดคำว่า "ศิลปะ" ไม่เป็น รู้ตัวเพียงชอบวาดรูป เมื่อถึงคราวส่งงานคุณครูประจำชั้นครั้งใด เป็นต้องได้คะแนนเต็มตลอด อีกทั้งยังได้รับคัดเลือกเพื่อเป็นตัวแทนของโรงเรียนในการส่งผลงานเข้าประกวดและเดินทางไปประกวดวาดรูปอยู่บ่อยๆ, ซึ่งแน่นอน เขาได้รับรางวัลบ้าง ไม่ได้รับรางวัลบ้างสลับกันไป ล้มลุกคลุกคลานเช่นนี้อยู่บ่อยๆ แต่ทุกผลงานก็ถือเป็นยาประสบการณ์ชั้นดีที่เติมเต็มให้กับชีวิตในวัยเติบโต---จากนั้นมาเขาก็เริ่มฉงนสงสัยในโลกศิลปะ พยายามตีความและค้นหาเพื่อเข้าถึง 'แก่น' ของมัน
ในยุคนี้ จัดว่าเขาเป็นศิลปินที่ถูกนำผลงานออกเผยแพร่ต่อสายตาสาธารณชนมากที่สุดคนหนึ่ง โดยเฉพาะผลงานพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยเทคนิคดิจิตอลเพ้นท์ (digital paint---รูปแบบการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สามารถสร้างสรรค์พื้นผิวของผลงานได้ใกล้เคียงกับการเขียนภาพด้วยมือเป็นอย่างมาก) ทั้งในโลกไอที ป้ายประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่หน้าหน่วยงาน สำนักงาน สถานที่ราชการสำคัญ และบนปกนิตยสาร ฯลฯ
เขาเป็นคนแรกๆ ในเมืองไทยที่ริเริ่มการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมภาพเหมือนบุคคลด้วยเทคนิคดิจิตอลเพ้นท์ เพียงแต่ไม่เคยคิดปักหมุดประกาศตัว เพราะถึงแม้นจะรู้ตัวว่าทำงานด้านนี้ได้และทำได้ดีเสียด้วย แต่ก็ไม่ได้คิด 'เกิด' ทางด้านนี้อย่างจริงจัง เพราะทั้งหมดของหัวใจยังโหยหาจิตรกรรมที่ขูดเขียนด้วยมือร้อยเปอร์เซ็นต์
ทุกครั้งที่เห็นผลงานได้รับการเผยแพร่อย่างกระจัดกระจาย หรือได้รับรู้ว่ามีใครริลอกผลงาน เขาไม่เคยรู้สึกโกรธ ไม่เคยขีดเส้นตายเรื่องลิขสิทธิ์ หนำซ้ำยังรู้สึกดีเสียอีกที่ผลงานเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง และเป็นส่วนหนึ่งในบันไดการพัฒนาทักษะของยุวชนศิลปิน เขาได้รับคัดเลือกเป็นทูตแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมจากหน่วยงานสำคัญในบ้านเมืองหลายครั้ง และเดินทางไปเผยแพร่ศิลปะในต่างประเทศบ่อยครั้งเช่นกัน
เขาได้รับแรงบันดาลใจในการทำงานศิลปะมาจากสรรพสิ่งรายรอบตัว ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ สายลม แสงแดด สังคม สิ่งแวดล้อม ชีวิตความเป็นอยู่ ภาพวิ่งเต้นในจอภาพยนตร์ เสียงบรรเลงจากบทเพลง ตลอดจนเนื้อหาชีวิตของบุคคลสำคัญที่ล่วงลับไปแล้ว ทั้งใกล้ตัวและไกลตัว---แรกเริ่มเดิมที แรงบันดาลใจของเขามาจากความชอบ จากความชอบทะลุต่อยอดกลายเป็นความเชื่อ เชื่อว่าฟ้าคงสั่งสาปส่งเขาลงมาเพื่อทำงานศิลปะ เพราะทำอย่างอื่นมักจะไม่โดดเด่นได้ดี จากความชอบและความเชื่อบวกเข้ากับการสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ปัจจุบันแรงบันดาลใจเล็กๆ ในเบื้องต้นขยายตัวออกมาครอบคลุมตัวตนของเขา แปรรูปกลายเป็นกิจวัตรประจำวันและนิสัยประจำใจที่ยากจะสลัดหลุด, เขาทำงานศิลปะดุจการอาบน้ำ แปรงฟัน สวมเสื้อผ้า ทานอาหาร ฯลฯ ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ 'ทำ' และ 'อยากทำ' อย่างลืมตัว ไม่ได้ 'ต้องทำ' หรือ 'ตั้งใจ' ทำอย่างขัดขืน
เขาเป็นซีอีโอคนสำคัญ ผู้ก่อตั้งเวปไซต์ visualizer-club.com ซึ่งเป็นเวปไซต์รวบรวมข้อมูลข่าวสารศิลปะที่มีความเสถียรมั่นคงและความสม่ำเสมอในการโพสต์สูง หากเอ่ยปากถามคนศิลปะรุ่นใหม่หลายคนถึงชื่อเสียงของเวปไซต์ดังกล่าว เชื่อว่าเก้าในสิบคนเป็นต้องรู้จักเครือข่ายใยพิภพระบบนี้---ดีไม่ดีเก้าในสิบคนนั้นๆ (หรืออาจจะเป็นสิบในสิบ เพียงแต่อีกหนึ่งบุคคลที่เคยเข้าไปเยี่ยมชมเวปไซต์นี้ ไม่ได้จดจำชื่อเวปฯ หากแต่จดจำเนื้อหาภายในเวปฯ เสียมากกว่า) อาจเคยเข้าไปเยี่ยมชมและดึงเอาผลงานในเวปไซต์นี้มาชื่นชมและคัดลอกเพื่อต่อเติมแรงบันดาลใจกับให้ตนเอง, และเชื่อเป็นอย่างยิ่ง ว่าการได้เห็นผลงานของตัวเองถูกโพสต์โชว์ลงในหน้าเวปไซต์นี้ เป็นความใฝ่ฝันของคนศิลปะหลากหลายคน
เขาหลงใหลคลั่งไคล้การสร้างสรรค์ภาพเหมือนบุคคลด้วยเทคนิคเกรยอง (crayon) เขาเขียนภาพด้วยเกรยองทุกวัน, นอกจากนี้เขายังทำได้ดีในภาพเขียนทุกแนว ที่สรรสร้างด้วยเทคนิคเกรยอง
เขาชอบ 'ทีปาด' ของเกรยอง หลงใหลในความเฉียบขาดฉับไวของมัน ซึ่งสร้างสรรค์ได้รวดเร็วทันตามใจคิด ประกอบกับเป็นคนหลงรักของเก่า ไม่ชอบสีสันฉูดฉาดแสบตามากนัก น้ำหนักขาวดำที่ได้จากการปาดป้ายเกรยองจึงเป็นคำตอบแรกและคำตอบสุดท้ายในการทำงานของเขา
นัยหนึ่งในโลกขาวดำ เขาก็เป็นอีกคนที่เคยหลงรักการวาดเส้น โดยเฉพาะการวาดเส้นด้วยเทคนิคดินสอดำ ทว่าการต้องมานั่งฝน ขยี้ ปาดป้ายไปมามากมายแต่ได้น้ำหนักเพียงนิดเดียว ซ้ำน้ำหนักที่ได้อาจไม่ใช่น้ำหนักที่ต้องการ ทำให้ไม่รู้สึกทันใจ ความคิดลอยล่องไปแล้ว แต่สองมือยังขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไปไม่ถึงไหน, จึงทำให้เขาหันมาทำคบหากับเกรยอง จากนั้นก็แต่งงานกับแท่งถ่านอย่างเงียบๆ
นอกจากเขาจะชอบเขียนเกรยอง เขายังเป็นคนหนึ่งที่ติดตามผลงานภาพเขียนเกรยองตัวยง ทว่าปัจจุบันศิลปินมักหลีกหนีเทคนิคนี้ อาจด้วยเหตุผลส่วนตัวนานัปการ และด้วยความอยากดูแต่ไม่มีให้ดูนี่เอง จึงแปรตัวเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้เขาเปลี่ยนสถานะจากผู้ดู มาเป็นผู้สร้างเสียเอง---เขาเขียนรูปที่เขาอยากดู แต่ไม่มีใครเขียนให้ดู
เขามีหน้าที่หลักคือทำงานประจำในบริษัท ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ต้องทำเลี้ยงปากท้องในโลกแห่งความเป็นจริง และพยายามหาช่องว่างของเวลาสำหรับสรรสร้างงานจิตรกรรมที่เขารัก เพื่อเติมเต็มให้กับสิ่งที่ฝัน---แต่ด้วยปริมาณผลงานของเขาที่เข้าข่ายมหาศาลและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยคุณภาพ ทำให้ผู้ติดตามชื่นชมผลงานเข้าใจว่าเขาคงมีอาชีพหน้าเดียว คือเป็นจิตรกรอิสระ ไม่มีใครเดาออกว่าแท้จริงสิ่งที่ชัดเจนในสายตาประชาชนนั้น เป็นเพียงอาชีพเสริม
อาชีพเสริมของเขาในสายตาคนอื่น คืออาชีพจริงในมุมมองของเขา, อาชีพจริงของเขาในสายตาคนทั่วไป คืออาชีพเสริมในความรู้สึกของเขา
เขาทำงานหลายอย่าง จนหลายคนมักตั้งข้อสงสัยในเรื่อง 'วัย' เนื่องจากผลงานมีมากมายดุจมีพละกำลังเยี่ยงคนหนุ่ม ในขณะที่ปีเกิดของเขาที่ได้รับการตีพิมพ์ลงหลังปกสูจิบัตร ก็แสดงตัวชัดว่าเขาอาศัยอยู่บนผิวโลกกว่าสี่สิบปีแล้ว เขานับเป็นต้นแบบ 'เชื้อเพลิง' ชั้นดี สำหรับคนเมืองที่คิดอยากทำงานศิลปะ แต่มักคอยอ้างว่าไม่มีเวลา เนื่องจากเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากงานประจำ
เขาเป็นคนปรกติ ที่มีแนวคิดปรกติ อีกทั้งยังมีวิถีชีวิตปรกติหากแต่คนทั่วไปต่างหาก ที่มองว่าเขาขยันเกินปรกติ, และแน่นอน ในแต่ละวันเขามีเวลาหลับตาน้อย
โต๊ะทำงานของเขามีสามฝั่ง ด้านหนึ่งจะเป็นกระดานรองเขียนที่ขยายตัวรอการขีดเขียน อีกฝั่งตรงข้ามเป็นคีย์บอร์ดพร้อมจอคอมพิวเตอร์ที่รอการกดแป้นพิมพ์ เพื่อสรรสร้างผลงานดิจิตอลเพ้นท์และปรับปรุงเนื้อหาเวปไซต์ ส่วนตรงกลางเป็นโต๊ะเขียนแบบขนาดใหญ่ ซึ่งภายในมีเนื้อหาสตอรี่บอร์ดสำหรับประคับประคองงานประจำ
เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ซึ่งถือเป็นเดือนและปีมหามงคลของปวงชนชาวไทย เขาจัดแสดงนิทรรศการเดี่ยว โดยการเขียนภาพพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ด้วยเทคนิคเกรยองจำนวน ๘๔ ภาพ ภายใต้ชื่อนิทรรศการ "๘๔ พรรษา ๘๔ พระบรมสาทิสลักษณ์ ถวายพระพร พ่อของแผ่นดิน" ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นภาพเขียนเกรยองที่มีขนาดใหญ่และยาวที่สุดในโลก เพราะมีความยาวถึง ๒ X ๑๕ เมตร, ซึ่งราคาที่ได้รับการประมูลจับจองภาพเขียนดังกล่าวทำให้เขาเริ่มรู้สึกลังเล ว่าถึงเวลาที่จะก้าวกระโดดออกมาจากรั้วงานประจำเพื่อสวมหมวกศิลปินเต็มตัวหรือยัง
ปุถุชนมักรู้จักเพียงงานของเขา นักศึกษาศิลปะรู้จักทั้งชื่อและผลงาน แต่แทบไม่รู้จักหน้าค่าตา มีเพียงเพื่อนพ้องน้องพี่จิตรกรด้วยกันเท่านั้น ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีทั้งชื่อเสียงเรียงนามและบรรดาผลงานมากมาย ของชายร่างเล็กแต่ใจใหญ่คนนี้
คนไม่รู้จักมักใส่ยศนำหน้าชื่อเขาว่า "อาจารย์"
ช่วงนี้ผลงานของเขาเผยแพร่อย่างหลากหลายจนคุ้นตา และตัวเขาออกทีวีบ่อย
เขาเป็นรุ่นพี่ของผมจากรั้วเพาะช่าง, เราเรียนคณะเดียวกัน มีคุณครูคนเดียวกัน มีห้องเรียนห้องเดียวกัน เตะบอลบนดาดฟ้าเดียวกัน ต่างที่เราเข้าเรียนกันคนละยุค คนละ พ.ศ.
เขามีรูปร่างเล็ก แต่ผมไม่เคยมองว่าเขาตัวเล็ก
เขา... สุวิทย์ ใจป้อม