พลุตม์ มารอด (คลิกดูประวัติ >)
รากแห่งการผลิบาน (Roots of Blooming Time)
กระถางเก่าที่แตกลายยืนอยู่อย่างสงบในกลางภาพ มันดูเปราะบาง แต่กลับทรงพลังในความเงียบงามนั้น — ภาชนะที่ผ่านการสึกกร่อน ไม่ใช่เพราะถูกทิ้งขว้าง หากเพราะมันได้ทำหน้าที่ของมันมาเนิ่นนาน จนกลายเป็นร่างแห่งเวลา ที่กักเก็บทั้งความเจ็บปวดและความทรงจำเอาไว้
รอยร้าวของกระถางไม่ได้ทำลายคุณค่า หากกลับเผยให้เห็น “หัวใจของความงามที่แท้จริง” — ความงามที่ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ เพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ กระถางนั้นคือรากเหง้าแห่งอดีต คือครรภ์ของความทรงจำ ที่ยังคงหล่อเลี้ยงสิ่งใหม่ให้เติบโต
จากภายในกระถางนั้น กิ่งไม้สีดำค่อย ๆ ยื่นตัวขึ้นสู่เบื้องบน มันไม่งดงามแบบอ่อนหวาน แต่มั่นคงและซื่อตรง ราวกับเส้นทางของเวลา กิ่งไม้คือ “สะพานของปัจจุบัน” ที่เชื่อมอดีตอันหยาบกร้านกับอนาคตที่กำลังรอผลิบาน สีดำของมันไม่ใช่เงามืด หากคือเส้นแห่งพลังที่ผ่านการเผชิญและการเข้าใจ
เหนือกิ่งไม้เหล่านั้น ดอกไม้สีน้ำเงินเบ่งบานอย่างสงบ ไม่ฉูดฉาดแต่โดดเด่นในพลังของตัวเอง มันคือ “ภาพแทนของอนาคต” ที่งอกงามขึ้นจากสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยแตกสลาย ดอกไม้ไม่ปฏิเสธอดีตของตน หากกลับขอบคุณรากเหง้าที่ค้ำจุนไว้ให้ยืนหยัดอยู่ได้ในวันนี้
ผลงานชิ้นนี้จึงมิใช่เพียงการวาดดอกไม้ในกระถาง หากเป็นการพิจารณา “วัฏจักรของชีวิต” ผ่านสายตาแห่งตะวันออกที่มองว่าทุกการแตกสลายคือการเปิดทางให้สิ่งใหม่ได้เกิดขึ้น และทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความงาม คือพลังของความอดทนและการยอมรับ
กระถางเก่าคืออดีตที่เฝ้าดูโดยไม่เรียกร้อง กิ่งไม้สีดำคือปัจจุบันที่กำลังพยุงชีวิต และดอกไม้สีน้ำเงินคืออนาคตที่กำลังผลิบานจากพลังเงียบเหล่านั้น ทั้งสามส่วนดำรงอยู่ร่วมกันในสมดุลอันละเอียดอ่อน — ความงามที่ไม่เกิดจากการแยกขาด แต่อยู่ใน “การพึ่งพาและการสืบต่อกันของเวลา”
พื้นหลังที่แผ่วไหวด้วยเฉดสีต่าง ๆ เป็นเพียงลมหายใจของเวลา — บรรยากาศที่บอกเราว่าโลกยังคงหมุน แต่สิ่งที่แท้จริงในภาพนั้นคือการนิ่งอยู่ของการเติบโต การผลิบานจากรากที่ไม่เคยละทิ้งหน้าที่ของมัน
ในท้ายที่สุด “รากแห่งการผลิบาน” จึงเปรียบเสมือนถ้อยคำอันอ่อนโยนที่กล่าวว่า
“ไม่มีความงามใดเกิดขึ้นได้ หากปราศจากการยืนหยัดของอดีต”
ดอกไม้ไม่สามารถงอกงามได้หากไม่มีกระถางที่แตกร้าว และมนุษย์ก็ไม่อาจเติบโตได้ หากไม่ยอมรับว่ารอยร้าวในใจนั้นคือรากฐานของการงอกงามใหม่
นี่คือภาพแห่งเวลา ที่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไม่ได้แยกจากกัน แต่หลอมรวมเป็น “พลังแห่งการดำรงอยู่”
พลังที่เงียบงาม เรียบง่าย แต่ลึกซึ้งดุจเสียงของธรรมชาติที่ยังคงเต้นอยู่ในทุกสิ่งที่แตกสลาย